การเขียนรายงานที่ถูกต้อง
ลักษณะของรายงานที่ดี
รายงานที่ดีควรมีลักษณะที่สำคัญดังต่อไปนี้
1.รูปเล่ม
ประกอบด้วยหน้าสำคัญต่าง ๆ ครบถ้วน การพิมพ์ประณีตสวยงาม
การจัดย่อหน้าข้อความเป็นแนวตรงกันใช้ตัวอักษรรูปแบบ (Font) เดียวกันทั้งเล่ม จัดตำแหน่งข้อความและรูปภาพได้สอดคล้องสัมพันธ์
และอ่านง่าย
2. เนื้อหา เป็นการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าที่น่าสนใจของผู้เขียน
แสดงถึงข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง เป็นปัจจุบันทันสมัย
ครอบคลุมเรื่องได้อย่างสมบูรณ์ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งของผู้เขียน
นอกจากแสดงความรู้ในข้อเท็จจริงแล้ว
ผู้เขียนควรแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ นำเสนอความรู้หรือประสบการณ์ใหม่ๆ
ทรรศนะ
ใหม่ๆหรือแนวทางแก้ปัญหาในเรื่องที่กําลังศึกษาอยู่ ด้วยการเรียบเรียงเนื้อหาเป็นไปตามลำดับไม่ซ้ำซากวกวนแสดงให้เห็นความสามารถในการกลั่นกรอง
สรุปความรู้และความคิดที่ได้จากแหล่งต่าง ๆ
3. สำนวนภาษา เป็นภาษาที่นิยมโดยทั่วไป
สละสลวย ชัดเจน มีการเว้นวรรคตอน สะกดการันต์ถูกต้อง ลำดับความได้ต่อเนื่อง
และสัมพันธ์กันตลอดเรื่อง
4. การอ้างอิงและบรรณานุกรมถูกต้องตามแบบแผน มีการแสดงหลักฐานที่มาของข้อมูลอย่างถูกต้องละเอียดถี่ถ้วน เมื่อกล่าวถึงเรื่องใดก็มีหลักฐานอ้างอิงเพียงพอและสมเหตุสมผล
เลือกใช้ข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้
ซึ่งการแสดงหลักฐานอ้างอิงและบรรณานุกรมจะบ่งบอกถึงคุณภาพทางวิชาการของรายงานนั้น
การทำรายงานให้ประสบความสำเร็จ ควรวางแผนดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอน
ดังนี้
การกำหนดเรื่องที่จะทำรายงาน ต้องเกิดจากความต้องการอยากรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ควรเป็นเรื่องที่นักศึกษาสนใจ หรือมีความรู้ในเรื่องนั้นอยู่บ้างแล้ว ขอบเขตของเรื่องไม่ควรกว้างหรือแคบเกินไป เพราะถ้ากว้างเกินไปจะทำให้เขียนได้อย่างผิวเผิน
หรือถ้าเรื่องแคบเกินไปอาจจะไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะเขียนได้ ในการกำหนดเรื่องควรคิดโครงเรื่องไว้คร่าว ๆ ว่าจะมีเนื้อหาในหัวข้อใดบ้าง
แหล่งข้อมูลเบื้องต้นควรเริ่มที่ห้องสมุดและอินเทอร์เน็ต ในการสำรวจควรใช้เครื่องมือที่แหล่งนั้นจัดเตรียมไว้ให้
เช่นห้องสมุดควรใช้ บัตรรายการ บัตรดัชนีวารสาร และ โอแพค (OPAC)
เป็นต้น การค้นทางอินเทอร์เน็ตควรใช้เว็บไซต์ Google,
Yahoo เป็นต้น นักศึกษาต้องเรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือและคำสั่งในการสืบค้นให้เข้าใจดีเสียก่อน
จึงจะช่วยให้ค้นคว้าได้รวดเร็วและได้เนื้อหาสาระที่ครบถ้วน
เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้วจะต้องจัดเก็บรวบรวมให้เป็นระบบ
เป็นหมวดหมู่ เอกสารที่รวบรวมได้ทุกรายการต้องเขียนบรรณานุกรมบอกแหล่งที่มาไว้ด้วย
เพื่อใช้ค้นคืนไปยังแหล่งเดิมได้อีกในภายหลัง
การกำหนดโครงเรื่อง
เป็นการกำหนดขอบข่ายเนื้อหาของรายงานว่าจะให้มีหัวข้อเรื่องอะไรบ้าง โครงเรื่องที่ดีจะต้องมีสาระสำคัญที่ตอบคำถาม
5W1H ได้ครบถ้วน กล่าวคือ
เนื้อหาของรายงานควรตอบคำถามต่อไปนี้ได้ เช่น
ใครเกี่ยวข้อง (Who) เป็นเรื่องอะไร
(What) เกิดขึ้นเมื่อไร (When) ที่ไหน (Where) ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น--เพราะเหตุใด
(Why) เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
หรือมีวิธีทำอย่างไร (How)
การคิดโครงเรื่องอาจใช้ผังความคิด
(Mind map)
ช่วยในการกำหนดประเด็นหัวข้อใหญ่หัวข้อรอง ส่วนการจัดเรียงหัวข้อให้มีความสัมพันธ์เป็นลำดับต่อเนื่องที่ดี
อาจใช้ผังความคิดแบบก้างปลา (Fish bone diagram) หรือแบบต้นไม้ (Tree diagram) จะช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ของแนวคิดได้ง่ายขึ้น
การตั้งชื่อหัวข้อควรให้สั้นกระชับได้ใจความครอบคลุมเนื้อหาในตอนนั้น
ๆ
4. รวบรวมข้อมูลตามโครงเรื่อง
เมื่อกำหนดโครงเรื่องแน่ชัดดีแล้ว จึงลงมือสืบค้นและรวบรวมข้อมูลตามบรรณานุกรมที่รวบรวมไว้ในขั้นตอนการสำรวจ
การรวบรวมอาจจะถ่ายเอกสารจากห้องสมุด
หรือพิมพ์หน้าเอกสารที่ค้นได้จากอินเทอร์เน็ต เสร็จแล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาแยกตามหัวข้อเรื่องที่กำหนดไว้
5. อ่านตีความ
สังเคราะห์ข้อมูล และจดบันทึก
การอ่านให้เน้นอ่านจับใจความสำคัญของเรื่อง เพื่อดึงเนื้อหาที่สอดคล้องกับประเด็น
แนวคิดต่างๆ ตามโครงเรื่องที่กำหนดไว้ ทำการบันทึกเนื้อหาลงในบัตรบันทึก
เสร็จแล้วนำบัตรบันทึกมาจัดกลุ่มตามประเด็นแนวคิด
เพื่อใช้ในการเรียบเรียงเนื้อหาของรายงานต่อไป หรืออาจทำเครื่องหมายตรงใจความสำคัญ (ขีดเส้นใต้) แทนการทำบัตรบันทึก
(กรณีเป็นหนังสือของห้องสมุดไม่ควรขีดเขียนหรือทำเครื่องหมายใดๆ)
เนื้อหาสาระที่นำมาเรียบเรียงต้องเป็นเนื้อหาที่ได้จากการประเมิน
วิเคราะห์ และสังเคราะห์จากขั้นตอนที่ 5 มาแล้ว (การวิเคราะห์และสังเคราะห์สารสนเทศ
สามารถศึกษาและฝึกปฏิบัติได้ในรายวิชาสารสนเทศและการศึกษาค้นคว้า)
ส่วนต่าง
ๆ ของรายงาน มี 3 ส่วน ดังนี้
1. ส่วนหน้า ประกอบด้วย
หน้าปก ใบรองปกหน้า (กระดาษเปล่า) หน้าปกใน หน้าคำนำ หน้าสารบัญ
2. ส่วนกลาง
ประกอบด้วย เนื้อเรื่อง เชิงอรรถ
3. ส่วนท้าย
ประกอบด้วย บรรณานุกรม ภาคผนวก ใบรองปกหลัง (กระดาษเปล่า)
ปกหลัง
การเขียนส่วนต่าง
ๆ ของรายงานแต่ละส่วน
1. การเขียนปกรายงานและการเขียนหน้าปกใน
1.1 การเขียนปก ให้เขียนชื่อเรื่อง และผู้เขียนรายงาน
กลางหน้ากระดาษ ไม่ต้องใส่คำว่า
ชื่อเรื่อง และผู้เขียนรายงาน
1.2 การเขียนหน้าปกในให้เขียนโดยแบ่งเป็น
3 ส่วน ดังนี้
ส่วนบน ให้เว้นระยะ
2 นิ้ว จากขอบกระดาษบนถึงบรรทัดแรกของรายงาน
และเขียน ชื่อเรื่องของรายงาน ใส่เฉพาะชื่อเรื่องที่เขียนรายงาน
ไม่ต้องใส่คำว่า ชื่อเรื่อง
ส่วนกลาง เว้นจากส่วนบนลงมาประมาณ
2 บรรทัดใส่คำว่าโดย และชื่อผู้เขียนรายงาน
ไม่ต้องใส่คำว่า ผู้เขียนรายงาน
ส่วนล่าง ให้เว้นระยะ
1 นิ้ว จากขอบกระดาษล่างถึงบรรทัดสุดท้ายของส่วนล่าง
บรรทัดแรกของส่วนล่างระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิชาใด ชั้นอะไร
ภาคเรียนที่เท่าใด ปีการศึกษาใด ใครเป็นครูผู้สอน
2. การเขียนคำนำ
การเขียน “คำนำ” อยู่ห่างจากขอบกระดาษด้านบน
2 นิ้ว ผู้เขียนรายงานจะระบุวัตถุประสงค์ ขอบเขตของเนื้อเรื่อง
หรือแนวการค้นคว้า และคำขอบคุณผู้มีส่วนช่วยเหลือให้ การค้นคว้ารวบรวม
และเรียบเรียงรายงานนั้นให้สำเร็จลงด้วยดี เมื่อหมดข้อความแล้วลงชื่อผู้เขียน วัน
เดือน ปี ที่เขียน ถ้าเป็นรายงานกลุ่มเขียนคำว่า คณะผู้จัดทำ
หน้าคำนำมักนิยมใส่เลขหน้าในวงเล็บไว้ด้านล่าง
3. การเขียนสารบัญ
การเขียน “สารบัญ” ผู้เขียนรายงานจะแบ่งเป็นบท
เป็นตอนระบุเนื้อเรื่องที่ปรากฏในรายงาน เรียงตามลำดับ
การเว้นระยะในการเขียนจะอยู่ห่างจากขอบกระดาษด้านบน 2 นิ้ว และข้อความในสารบัญ
จะอยู่ห่างจากริมซ้ายของกระดาษเข้าไป 1.1 นิ้ว
เริ่มตั้งแต่ คำนำ บท และ ชื่อของบท จนถึงส่วนท้าย คือบรรณานุกรม และภาคผนวก
เลขหน้าทางด้านขวามือจะอยู่ห่างจากขอบขวาของกระดาษ 1.1 นิ้ว
ผู้เขียนรายงานต้องทำรายงานเรียบร้อยแล้วจึงจะระบุเลขหน้าได้ว่า บทใด
ตอนใด อยู่หน้าใด
การนำบัตรข้อมูลที่บันทึกตามโครงเรื่องมาเขียนเนื้อหาของรายงาน
การเขียนเนื้อเรื่อง เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะผลการค้นคว้ารวบรวมทั้งหมดที่บันทึก
ลงในบัตรบันทึกข้อมูลจะนำมาเรียบเรียงไว้ในส่วนนี้ เรียงตามลำดับโครงเรื่องที่ปรากฏในสารบัญ
ครอบคลุมตั้งแต่บทแรกถึงบทสุดท้าย
ในหน้าแรกของเนื้อเรื่องไม่ต้องใส่เลขหน้าเว้นจากขอบบนของหน้ากระดาษลงมา 2 นิ้ว ไว้กลางหน้ากระดาษ ทุกครั้งที่ขึ้นบทใหม่ไม่ใส่เลขหน้าเฉพาะหน้านั้นแต่ให้นับหน้าด้วย
การเว้นระยะจากขอบล่างขึ้นมา ให้เว้น 1 นิ้ว จากขอบซ้ายของหน้ากระดาษเข้ามาเว้น
1.5 นิ้ว จากขอบขวาของหน้ากระดาษเข้ามา
เว้น 1 นิ้ว
ส่วนการย่อหน้าทุกครั้งให้เว้น 6 ช่วงตัวอักษร
เขียนตัวที่ 7
การทำบรรณานุกรมท้ายเล่ม
การลงบรรณานุกรม หากมีเอกสารทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศให้ลงภาษาไทยก่อน
เรียงตามลำดับประเภท และในแต่ละประเภทเรียงตามลำดับอักษรผู้แต่ง
หรือเรียงตามลำดับอักษรรวมกันไม่แยกประเภท
ขอขอบคุณข้อมูล
http://www.bangkapi.ac.th/MediaOnLine/weerawanWMD/unit6_part16.htm
สืบค้นวันที่
22 กันยายน
พ.ศ. 2556